เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้า

เทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทหลักในการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยให้การดำเนินกิจกรรม กระบวนการ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรสะดวกยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้องค์กรก้าวสู่ความเป็นผู้นำ ดังนั้นผู้บริหารและสมาชิกขององค์กรจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งที่เกี่ยวข้องกับงาน และที่เกี่ยวข้องกับองค์กร สำหรับบุคคลทั่วไป การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสในการเลือกอาชีพ ได้รับเงินเดือนสูง มีโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน

ช่วงเวลาที่โลกธุรกิจได้เติบโตเปลี่ยนผ่านมาสู่อีกยุคหนึ่ง

ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตาตื่นใจและน่าตื่นตะลึงมากที่สุดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีนำเราจากยุคก่อกำเนิดและยุคต้นๆของอินเตอร์เน็ตเข้าสู่ยุคแห่งการเชื่อมโยงทางออนไลน์โซเชียลเน็ตเวิร์ก และการบ่งบอกตำแหน่งสถานที่ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนทุกวันนี้ต่างก็คุ้นชินดี การคำนึงถึงการสร้างความเจริญให้กับชุมชนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพร้อมๆกันไปนอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผู้นำองค์กรธุรกิจยุคอดีตอาจจะไม่เคยต้องคำนึงถึงมาก่อน

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ทำให้เกิดพื้นที่ตลาดรูปแบบใหม่ขึ้นมา โดยพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ลูกค้าบางคนค้นหาข้อมูลสินค้าทางเว็บไซต์ก่อน จากนั้นไปดูสินค้าจริงที่ร้าน แต่กลับสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์เพราะราคาถูกกว่า บางแบรนด์กำหนดกลยุทธ์การตลาดในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้แบบเจาะจงตัวมากขึ้น ด้วยการเก็บข้อมูลจากทุกจุดที่สัมผัสกับลูกค้า แล้วนำข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้าเฉพาะรายได้ เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสนับสนุนการทำงานด้านต่างๆขององค์กรในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในแต่ละระดับขององค์กรจะมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เอื้อประโยชน์ที่แตกต่างกัน

เทคโนโลยีสารสนเทศบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า

1. ระบบการตลาดอัตโนมัติ (Market Automation) เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะบุคคล ประวัติลูกค้า
2. การขายอัตโนมัติ (Sales automation) กระบวนการขายเป็นกระบวนการที่ทำให้สินค้าไปสู่มือลูกค้า
3. บริการ (Service) เป็นงานให้บริการลูกค้า
4. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) เป็นการทำธุรกรรมผ่านระบบอินเทอร์เน็ตตั้งแต่การให้ข้อมูลสินค้า การทำรายการซื้อขาย และระบบการชำระเงิน ความปลอดภัย

เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้เป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง

อิเล็กทรอนิกส์ พิมพ์ได้ บางครั้งอาจเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น เช่น พลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ (plastic electronics:PE) หรืออิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ (organic electronics) หรือ อิเล็กทรอนิกส์งอได้ (flexible electronics) อิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้เป็นสาขาหนึ่งของอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ ที่ทำมาจาก organic polymer/conductive polymer หรือ conductive plastic โดยใช้วัสดุที่เป็นคาร์บอนเป็นพื้นฐาน (carbon-based) ซึ่งเป็นอีกแนวทางที่แตกต่างจากไมโครอิเล็กทรอนิกส์แบบดั้งเดิมที่ใช้สาร ซิลิคอน

เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้มีคุณสมบัติพิเศษที่บาง เบา และยืดหยุ่นได้ สามารถพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ เช่น การพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต (ink-jet) การพิมพ์แบบ Gravure หรือ การพิมพ์แบบ Offset ได้ จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ไม่เพียงเป็นทาง เลือกใหม่ในการใช้อินทรีย์วัตถุแทนการใช้ซิลิคอนแบบเดิมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมอุตสาหกรรมทั้งที่มีอยู่แล้วและที่เกิดขึ้นใหม่ อย่างเช่น อุปกรณ์ RFID อุปกรณ์ให้แสงสว่าง (lighting) หรือจอภาพ (display) ฯลฯ ให้สามารถผลิตได้ในราคาประหยัดอีกด้วย นอกจากนี้อิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ยังก่อให้เกิดความร้อนขึ้นเพียงเล็กน้อยและ ใช้พลังงานจำนวนเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์พิมพ์ได้ได้ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในด้านต่างๆ ได้แก่
– Flexible Electronics เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการนำเอาคุณสมบัติในการพับงอได้ของพลาสติกมาใช้ ประโยชน์ เช่น เซลล์แสงอาฑิตย์ จอภาพแบบยืดหยุ่น แผ่นติดสินค้า เซ็นเซอร์ตรวจคุณภาพอาหารเป็นต้น
– On-site Printed Electronics เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยการเตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยการพิมพ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น อิงค์เจ็ต หรือ เฟล็กโซกราฟ เป็นต้นซึ่งจะทำให้สามารถดาวน์โหลดวงจรผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วพิมพ์แผ่นวงจรใช้งานที่บ้านหรือ ณ จุดขายสินค้า ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิวัติอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว
– Wearable Electronics และ Electronic Textile เป็นการนำเอาฟังก์ชันทางด้านอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปอยู่ในสิ่งทอ ทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่มีความสามารถในการประมวลผล เช่น เสื้อผ้าสามารถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมหรือ เสื้อผ้าตรวจสุขภาพของผู้สวมใส่ เป็นต้น
– Ambient Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้สภาพล้อมรอบที่อาศัยอยู่มีความฉลาด และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ เช่น แผ่นไฟส่องสว่างแบบสภาพธรรมชาติ e-Wallpaper ฟิล์มปรับตามแสงสว่าง เซ็นเซอร์ตรวจสอบสภาพล้อมรอบ เป็นต้น

ในโลกธุรกิจกับการใช้เทคโนโลยี

ความก้าวหน้าของโลกเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นกระแสที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะหันมองไปทางด้านไหนก็เห็นแต่เทคโนโลยีที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้ง นั้น เมื่อมานั่งไตร่ตรองคิดดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วจะเห็นว่ามนุษย์ออกแบบ เทคโนโลยีต่างๆ ขึ้นมาเพื่อสร้างความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น และเทคโนโลยีซึ่งถูกกล่าวถึงอย่างมากในปัจจุบัน และน่าจะสร้างประโยชน์ให้วงการธุรกิจได้มากหลายหมื่นล้านเลยก็คือเทคโนโลยี 3G ลองมาดูกันดีว่าเทคโนโลยีตัวนี้มีประโยชน์ในการนำมาประยุกต์ใช้ในโลกธุรกิจ อย่างไร

1. ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล

ความรวดเร็วของเทคโนโลยีจะทำให้คุณได้เปรียบด้านข่าวสารมากขึ้นหลายเท่าตัว ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในโลกก็สามารถส่งผ่านข้อมูลทั้งในรูปแบบคำพูดหรือ ข้อความต่างๆ เพราะหลายครั้งความสำเร็จของธุรกิจตัดสินกันเป็นวินาที เราขอยกตัวอย่างเช่น หากเรากำลังรอข้อมูลสำคัญเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในเซ็นสัญญาซื้อขาย โดยเราได้สั่งลูกน้องให้ออกไปหาและเก็บข้อมูลดังกล่าวนอกสถานที่และให้ รายงานผลกลับมาในทันทีเพราะมีคู่แข่งรอจะทำการซื้อขายอยู่เช่นกัน แต่ปรากฏว่าการทำการซื้อขายเกิดผิดพลาด บริษัทคู่แข่งได้สัญญาดังกล่าวไป เพราะเรามัวแต่รอข้อมูลซึ่งส่งมาให้ช้าเกินไปเพราะใช้เทคโนโลยีแบบเดิมๆ จะเห็นได้ว่าความรวดเร็วของเทคโนโลยีทำให้เราสามารถสร้างความได้เปรียบทาง ด้านข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวนักในธุรกิจ ลองคิดดูเล่นๆ ว่า หากเราสามารถเป็นผู้เข้าตลาดและออกจากตลาดก่อนเป็นคนแรก ธุรกิจของเราจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ขนาดไหน

2. ใช้บริการมัลติมิเดียได้มากขึ้น

จุดนี้เป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของเทคโนโลยี 3G ที่เพิ่มเข้ามาจากเทคโนโลยีเดิมในปัจจุบัน เราสามารถรับชมโทรทัศน์หรือฟังวิทยุผ่านโทรศัพท์มือถือได้ นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟกซ์ โทรศัพท์ทางไกลไปต่างประเทศ รับส่งข้อความหรือไฟล์ภาพขนาดใหญ่ อาทิ คุณกำลังมองหาที่ดินใจกลางเมืองเพื่อปลูกสร้างสำนักงานหรือซื้อเพื่อเก็ง กำไรในอนาคต เราก็สามารถถ่ายรูปแล้วส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญตีราคาประเมินเพื่อนำมาใช้ ประกอบการตัดสินใจ หรือบางทีเราอาจใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อรับชมรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาด หุ้นในกรณีที่เราอยู่นอกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลกก็ตาม หรือเราอาจรับชมวิดีโอการสัมมนาก็ยังสามารถทำได้ เรียกว่าเป็นการปฏิวัติวงการเทคโนโลยีแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง

3. ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารได้ทั่วโลก

เจ้าของธุรกิจหรือนักบริหารทั้งหลายมักต้องประชุมทางธุรกิจกันบ่อยครั้ง และก็บ่อยครั้งเช่นกันที่เรามีนัดประชุมทางธุรกิจในเวลาเดียวกับที่เราติด ธุระสำคัญจนไม่อาจเข้าร่วมประชุมได้ ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขด้วยเทคโนโลยี 3G ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเข้าร่วมประชุมได้จากทั่วทุกมุมโลก โดยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video conference) และไม่แน่ว่าการพูดคุยกับลูกค้าแบบเห็นหน้ากันอาจกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคต

4. เชื่อมต่อข้อมูลอินเทอร์เน็ต

ความสามารถในการเข้าถึงและเชื่อมต่อข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเป็นศักยภาพสูง สุดที่ 3G มีเหนือกว่าระบบแบบเดิมๆ อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอีกต่างหาก เราสามารถเข้าดูข้อมูลตามเว็บไซต์ผ่านอินเทอร์เน็ตทางโทรศัพท์มือถือ นอกเหนือจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดไฟล์และอัพโหลดไฟล์เอกสารสัญญาการซื้อขาย ต่างๆ ได้อีกด้วย ที่พิเศษมากกว่านั้นคือเป็นการเปิดประตูสู่การทำธุรกรรมออนไลน์ในรูปแบบ ต่างๆ เช่น การโอนเงินออนไลน์ไปยังธนาคารต่างๆ จะมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นหากคิดในทางกลับกัน เรายังสามารถเป็นผู้ให้หรือผู้ส่งข้อมูลข่าวสารและโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าและ บริการต่างๆ ของบริษัทไปยังผู้บริโภคได้อีกด้วย นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนการสื่อสารทางกรตลาดไปอย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ว่าเทคโนโลยี 3G ซึ่งเริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยในขณะนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนต่อธุรกิจ ซึ่งเราสามารถนำมาเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้กับบริษัทได้อีกทางหนึ่งด้วย ที่สำคัญคือเราต้องเริ่มปรับตัวและเรียนรู้เทคโนโลยีตัวใหม่นี้ให้เร็วที่ สุด ให้สามารถควบคุมหรือดัดแปลงประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับธุรกิจ เพราะการที่เราสามารถเดินนำหน้าคนอื่นแม้แต่เพียงครึ่งก้าวก็สามารถสร้าง ความแตกต่างทางธุรกิจได้มากมายมหาศาลแล้ว

เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์กับโลกธุรกิจปัจจุบัน

 

โลกเราในปัจจุบันนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งก็คือสังคมที่เต็มไปด้วยข้อมูล และข่าวสาร และเป็นยุคที่เป็นโลกของการติดต่อสื่อสารที่ไร้พรมแดน ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารมีความทันสมัย ก้าวหน้าสามารถเชื่อมต่อโลกทั้งโลกได้ โดยไม่มีอุปสรรคด้านเวลาและระยะทาง

ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ของมนุษย์ในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน การทำธุรกิจ การศึกษา การวิจัยพัฒนา หรือแม้กระทั่งความบันเทิงต่างๆ สังเกตได้จากสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ รอบตัวเราส่วนใหญ่จะถูกควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น

เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Internet, Search Engine, Wireless technology, Multimedia, Broadband, Telecommunications, Bio Technology ต่างๆ เหล่านี้ได้ปฏิวัติชีวิตและแบบแผนดั้งเดิมในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของเราจนหมดสิ้น มีสถิติบันทึกไว้ว่านับตั้งแต่ Internet เป็นที่รู้จักของชาวโลกแค่เพียง 4 ปี ก็มีผู้เข้าใช้งาน Internet มากถึง 50 ล้านคนทั่วโลก

เทคโนโลยีนำเราสู่โลกใหม่และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้มนุษย์อย่างมากมายมหาศาล เช่น ในด้านการศึกษา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทำให้โอกาสในการศึกษาเรียนรู้ของมนุษย์ขยายขอบเขตไป อย่างมาก เราสามารถเรียนรู้ได้ไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลกผ่านสื่อ e-learning แบบ WBI (Web Based Instruction) หรือการเรียนการสอนผ่านบริการเว็บเพจ โดยมีผลสำรวจของสำนักวิจัย International Data Corporation (IDC) คาดการณ์ว่าในทวีปยุโรปความต้องการในการเรียนรู้ผ่าน e-learning จะขยายตัวเป็นสองเท่าในปี 2005 และจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนสูงขึ้น 30% ทุกปีจนถึงปี 2008

ในด้านธุรกิจเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารและข้อมูลสารสนเทศ (Information & Communication Technology หรือ ICT) นับวันยิ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร โดยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารและข้อมูลสารสนเทศ จะมีบทบาทหลักในการช่วยจัดเก็บข้อมูล ช่วยในการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีระบบ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการพัฒนาจัดการความรู้ (Knowledge Management) และการสื่อสาร ผ่านทางระบบ Internet, Intranet และ Groupware (โปรแกรมที่ให้บริการ share ข้อมูลร่วมกันระหว่างกลุ่มคน service ที่ให้บริการ เช่น share calendars, email, share database, electronics meeting เป็นต้น)

ปัจจุบันนี้องค์กรต่างๆ กว่า 2,000 องค์กรทั่วโลก ต่างก็พยายามเชื่อมต่อเทคโนโลยีและพัฒนาการจัดการข้อมูลสารสนเทศให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นผ่านรูปแบบที่เรียกว่า EAI (Enterprise Application Integration) ซึ่งในทางธุรกิจ EAI ช่วยให้องค์กรสามารถคิดค้นโซลูชั่นใหม่ๆ ทางธุรกิจ, สร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบซัพพลายเชน, ช่วยปรับปรุงการทำงานภายในองค์กร, ลดเวลาและลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มผลผลิต, ช่วยลดต้นทุน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ นอกจากนั้นเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจการค้าหรือการซื้อขายบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-commerce) ยังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิมอีกด้วย

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต

 

gazetelerเนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์คิดค้นและพัฒนาสิ่งอำนวยต่อการดำรงชีวิตมากขึ้น และเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาอุปกรณ์ด้านคอมพิวเตอร์โดยมีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวิจัยทดลองด้านวิทยาศาสตร์ สำหรับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีส่วนทำให้คุณภาพชีวิตของบุคคลดีขึ้นและยังพัฒนาประเทศได้ดีขึ้นด้วย เช่น
1.การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้ก้าวหน้าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
2.การสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศในทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และยังช่วยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ สามารถแก้ปัญหาเองได้
3.การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ผลิต โดยนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆในการเพิ่มรายได้ภายในประเทศได้
4.การศึกษาตลอดชีวิตที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้การศึกษามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะการศึกษาสามารถช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและยังช่วยในการเข้าสังคม
5.ด้านอุตสาหกรรม การบริการ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้าไปเชื่อมโยงกับบริการเพื่อสนองความต้องการของสังคม เช่น ธนาคาร การศึกษาและอื่นๆ

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังมีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลและสังคมลดลง คือการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองและการหมกมุ่นกับเทคโนโลยีเกินไป จะทำให้เหินห่างจากธรรมชาติ อย่างเช่น เด็กจะติดเกมส์ จนไม่สนใจอะไรเลย นอกจากนี้การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไปโดยมุ่งหวังแต่ความสะดวกสบายจะทำให้สูญเสียศักยภาพในการพึงพาตนเอง

เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในยุคของโลกไร้พรมแดน วิทยาการทุกอย่างย่อมส่งผลกระทบถึงทุกคน ดังนั้นการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการแก้ปัญหาชีวิตและการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม โดยถ้าทุกคนมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อกันและสิ่งแวดล้อมแล้วการนำเทคโนโลยีมาใช้ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์  แต่ถ้า ขาดจิตสำนึกแล้ว อาจจะนำเทคโนโลยีไปใช้ ในแนวทางไม่สร้างสรรค์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตน ก็อาจจะทำให้เกิดโทษได้ดังนั้น การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยไม่สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่นและส่วนรวม จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตลอดไป